หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

โหลดสรุปกฎหมายภาษี สรรพากร สรรพสามิต

โหลดสรุปกฎหมายภาษี สรรพากร สรรพสามิต
load summarize tax revenue law and the excise
1.ไฟล์สรุปสำหรับอ่านเพื่อเตรียมตัวสอบ
(the file summarizes for read for test)
Link http://www.ziddu.com/download/11084330/Law.rar.html
รวมพ.ร.บ.ภาษี
1.พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527
Link http://www.ziddu.com/download/11084081/..2527.pdf.html
2.พระราชบัญญัติสุรา พ.ศ. 2493
Link http://www.ziddu.com/download/11084104/..2493.pdf.html
3.พระราชบัญญัติยาสูบ พ.ศ. 2509
Link http://www.ziddu.com/download/11084154/..2509.pdf.html
4.พระราชบัญญัติไพ่ พุทธศักราช 2486
Link http://www.ziddu.com/download/11084520/4.Pai.rar.html
5.พ.ร.บ.พิกัดอัตราภาษีสรระสามิต พ.ศ.2527
Link http://www.ziddu.com/download/11084476/5.Pigutpasi.rar.html

โหลดเกมส์ฟรี พักสมอง

1.Zuma Deluxe 1.0 & Crack น้อยคนที่ไม่รู้จัก
Link

วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553

หนังสือวิชากฎหมาย (หนังสือม.รามคำแหง)

หนังสือกฎหมาย Law book from www.ru.ac.th
1.อาชญาวิทยาและทัณฑวิทยา (the criminology and the penology)
http://www.ziddu.com/download/11081535/thecriminologyandthepenology.rar.html
2.กฎหมายอาญาทหาร (criminal soldier law)
http://www.ziddu.com/download/11081573/criminalsoldierlaw.rar.html
3.การว่าความ (Lawyer Practice)
http://www.ziddu.com/download/11081645/LawyerPractice.rar.html
4.กฎหมายแรงงาน
http://www.ziddu.com/download/11083368/labourlegislation.rar.html
แล้วจะเอามาเพิ่มเติมให้ทีหลังครับ

กฎหมายสรรพากร (Revenue tax)

1.ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา person income tax
ผู้มีหน้าที่เสียภาษี เงินได้บุคคลธรรมดา ได้แก่ ผู้ที่มีเงินได้เกิดขึ้นระหว่างปีที่ผ่านมาโดยมีสถานะ อย่างหนึ่งอย่างใด ดังนี้ (ต้องยื่นแบบแสดงภาษี)
1) บุคคลธรรมดา (ม.56)
2) ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล (ม.56) ผู้อำนวยการหรือผู้จัดการยื่น
3) ผู้ถึงแก่ความตายระหว่างปีภาษี (ม.57 ทวิ) ผู้จัดการมรดก,ทายาท, ผู้ครอบครองทรัพย์มรดกยื่น
4) กองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง (ม.57 ทวิ ว.2) ในปีถัดไปจากข้อ 3) ถ้ากองมรดกยังมิได้แบ่ง และมีเงินได้เกิดขึ้น
รายได้ขั้นต่ำของผู้ที่ต้องยื่นแบบแสดงภาษีต่อปี
1) ผู้มีเงินได้ตาม ม.40 (1) (เงินเดือน)
-โสด = มีเงินได้เกิน 50,000 บาท/ปี
-สมรส = มีเงินได้รวมกันเกิน 100,000 บาท/ปี
2) ผู้มีเงินได้ประเภทอื่นนอกจากเงินเดือน ตาม ม.40 (1)
-โสด = มีเงินได้เกิน 30,000 บาท/ปี
-สมรส = มีเงินได้รวมกันเกิน 60,000 บาท/ปี
3) กองมรดกของผู้ตายที่ยังไม่ได้แบ่ง มีรายได้เกิดขึ้นเกินกว่า 30,000 บาท/ปี
4) ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคลมีรายได้เกิน 30,000 บาท/ปี

ชื่อแบบ ใช้ยื่น กรณี กำหนดเวลายื่น
ภ.ง.ด. 90 มีเงินได้พึงประเมินทุก ประเภท มกราคม - มีนาคม ของปีภาษีถัดไป
ภ.ง.ด. 91 มีเฉพาะเงินได้พึงประเมิน ประเภทที่ 1ม.40(1) ประเภทเดียว มกราคม - มีนาคม ของปีภาษีถัดไป
ภ.ง.ด. 93 มี เงินได้ขอชำระภาษีล่วงหน้า ก่อนถึงกำหนดเวลาการยื่น แบบตามปกติ
ภ.ง.ด. 94 ยื่น ครึ่งปีสำหรับผู้มีเงินได้พึงประเมินเฉพาะประเภทที่ 5,6,7 และ 8 กรกฎาคม - กันยายน ของปีภาษีนั้น

เงินได้ประเภทต่างๆ (แบ่งเพื่อสะดวกในการคำนวนภาษี)
1.เงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงาน
2. เงินได้เนื่องจากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำ หรือจากการรับทำงานให้
เช่น ค่าธรรมเนียม ค่านายหน้า เงินจากตำแหน่งหรือรับทำงานให้ ประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับ
หักค่าใช้จ่ายได้ 40% แต่ไม่เกิน 60,000 บาท ม.42 ทวิ
3. เงินได้เนื่องจากค่าแห่งกู๊ดวิลล์ ค่าแห่งลิขสิทธิ์หรือ สิทธิอย่างอื่น เงินปี หรือเงินได้ที่มีลักษณะ เป็นเงินรายปีอันได้มาจากพินัยกรรม นิติกรรมอย่างอื่น หรือคำพิพากษาของศาล
หักค่าใช้จ่ายได้ เฉพาะค่าลิขสิทธิ์ 40% แต่ไม่เกิน 60,000 บาท ม.42 ตรี
4. เงินได้เนื่องจากดอกเบี้ย เงินปันผล เงินส่วนแบ่งกำไร เงินลดทุน เงินเพิ่มทุน ผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนหุ้น (ลงทุนด้วยเงิน)
ไม่สามารถหักค่าใช้จ่ายได้


5.เงินได้จากการให้เช่าทรัพย์สิน เงินหรือประโยชน์อย่างอื่น ที่ได้เนื่องจาก
1) การให้เช่าทรัพย์สิน
2) การผิดสัญญาเช่าซื้อทรัพย์สิน
3) การผิดสัญญาซื้อขายเงินผ่อนซึ่งผู้ขายได้รับคืนทรัพย์สินที่ซื้อขายนั้นโดย ไม่ต้องคืนเงินหรือประโยชน์ที่ได้รับไว้แล้ว
ข้อ1) ก) หักค่าใช้จ่ายตามจำเป็นและสมควร (ใช้ใบเสร็จ) หรือ
ข) หักเป็นการเหมาในอัตราดังต่อนี้
1) บ้าน โรงเรือน สิ่งปลูกสร้าง แพ (เจ้าของ = 30 %, ผู้เช่าช่วง = หักได้เฉพาะค่าเช่าเดิม)
2) ที่ดินเกษตรกรรม (เจ้าของ = 20 %, ผู้เช่าช่วง = หักได้เฉพาะค่าเช่าเดิม)
3) ที่ดินที่ไม่ใช้ในการเกษตรกรรม (เจ้าของ = 15 %, ผู้เช่าช่วง = หักได้เฉพาะค่าเช่าเดิม)
4) ยานพาหนะ = 30%
5) ทรัพย์สินอย่างอื่น = 15%
ข้อ2) หักค่าใช้จ่าย 20 %
ข้อ3) หักค่าใช้จ่าย 20 %
6.เงินได้จากวิชาชีพอิสระ คือวิชากฎหมาย การประกอบโรคศิลป วิศวกรรม สถาปัตยกรรม การบัญชี ประณีตศิลปกรรม หรือวิชาชีพอื่นซึ่งจะได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดชนิดไว้
ก) หักค่าใช้จ่ายตามจำเป็นและสมควร (ใช้ใบเสร็จ) หรือ
ข) หักเป็นการเหมาในอัตราดังต่อนี้
1) การประกอบโรคศิลป 60%
2) ไม่ใช่ประกอบโรคศิลป 30%
7.เงินได้จากการรับเหมาที่ผู้รับเหมาต้องลงทุนด้วยการจัดหาสัมภาระ ในส่วนสำคัญนอกจากเครื่องมือ
ก) หักค่าใช้จ่ายตามจำเป็นและสมควร (ใช้ใบเสร็จ) หรือ
ข) หักเป็นการเหมาในอัตรา 70%
8.เงินได้จากการธุรกิจ การพาณิชย์ การเกษตร การอุตสาหกรรม การขนส่ง การขายอสังหาริมทรัพย์ หรือการอื่นนอกจากที่ระบุไว้ในประเภทที่ 1 ถึงประเภทที่ 7 แล้ว
ก) หักค่าใช้จ่ายตามจำเป็นและสมควร (ใช้ใบเสร็จ) หรือ
ข) หักเป็นการเหมาในอัตราตามพระราชกฤษฎีกา
เงินได้ที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำมาคิดคำนวณเสียภาษี ตาม ม.42
1) ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าพาหนะ ซึ่งได้จ่ายไปโดยสุจริต (ตามจริง)
2) เงินค่าเดินทางสำหรับมาทำงานต่างถิ่นครั้งแรกหรือการกลับถิ่นเดิมเมื่อการจ้างสิ้นสุด
3.) เงินได้จาการขายอากรแสตมป์ หรือแสตมป์ไปรษณียากรของรัฐบาล
4) ดอกเบี้ยสลากออมสิน หรือดอกเบี้ยเงินฝากออมสินของรัฐบาลเฉพาะฝากเผื่อเรียก
5) ดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ที่ได้รับจากสหกรณ์
6) ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักรประเภทออมทรัพย์เผื่อเรียก รวมกันไม่เกิน 10,000 บาท
7) การขายสังหาริมทรัพย์ หรืออสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมิได้มุ่งในการค้าหากำไร
8) เงินที่ได้รับจากการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยา
9) เงินได้ที่ได้รับจากมรดก
10) เงินได้ที่ได้รับจากการให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี
การหักค่าลดหย่อน ตาม ม.47
1) ค่าลดหย่อนส่วนบุคคล
ก.ผู้มีเงินได้ = 30,000 บาท
ข.คู่สมรส = 30,000 บาท
ค.บุตร และบุตรบุญธรรม = คนละ 15,000 บาท รวมกันไม่เกิน 3 คน
ถ้าเรียนในไทยได้เพิ่มอีก 2,000 บาทต่อคน
**เงื่อนไข** 1) อายุไม่เกิน 25 ปี และยังศึกษาอยู่ในชั้นอุดมศึกษา
2) เป็นผู้เยาว์ (ไม่เกิน 20 ปี)
3) คนที่ศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ
2) เงินที่จ่ายเป็นเบี้ยประกันชีวิตที่กรมธรรม์ประกัน ตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป
หักได้ตามจริงไม่เกิน 10,000 บาท + เกิน 10,000 บาท ถึง 90,000 บาท ตามประกาศ ฉ.172
3) เงินสะสมที่จ่ายเข้ากองทุนเลี้ยงชีพหักได้ตามจริงไม่เกิน 10,000 บาท + 90,000 ตามประกาศ ฉ.91
4) ดอกเบี้ย เงินกู้ยืม เพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างอาคาร อยู่อาศัยโดยจำนองอาคารที่ซื้อหรือสร้างเป็นประกัน
การกู้ยืมนั้น
ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท + 90,000 บาทตามประกาศ 126
5) เงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมตามที่จ่ายจริง
6) ค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดา มารดา รวมทั้งบิดา มารดาของสามีภริยา คนละ = 30,000 บาท
**เงื่อนไข** 1) อายุ 60 ปีขึ้นไป
2) มีรายได้ไม่เพียงพอต่อการยังชีพ
3) อยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของผู้มีเงินได้
7) ในกรณีผู้มีเงินได้เป็นกองมรดก ลดหย่อนได้ 30,000 บาท
8) ในกรณีเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคล ให้หักลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท
แต่ไม่เกิน 60,000 บาท
9) เงินบริจาค แต่ต้องไม่เกิน 10 % ของเงินที่เหลือ
10) อุปการะคนพิการ อีกคนละ 60,000 บาท

อัตรา ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เมื่อได้ยอดเงินได้สุทธิแล้ว นำไปคำนวณภาษีตามอัตราภาษี ดังนี้
เงินได้สุทธิ ช่วงเงินได้สุทธิ อัตราภาษี ภาษีแต่ละขั้นเงินได้สุทธิ ภาษีสะสม
1 - 150,000 150,000 ได้รับยก เว้น - -
150,001 - 500,000 350,000 10 35,000 35,000
500,001 - 1,000,000 500,000 20 100,000 135,000
1,000,001 - 4,000,000 3,000,000 30 900,000 1,035,000
4,000,001 บาทขึ้นไป 37

เงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษี ตามม.48
1) ภาษีที่ต้องเสีย(ใช้กับทุกประเภท) = เงินได้พึงประเมิน (ไม่รวมที่ได้รับยกเว้น) – ต้นทุนแต่ละประเภท
– ค่าลดหย่อน และ X อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
2) ภาษีที่ต้องเสีย(ไม่ใช้กับประเภทที่ 1 จ้างแรงงาน ถ้ามีให้ลบออก ) = ถ้าผู้มีเงินได้มีเงินได้พึงประเมิน 60,000 บาทขึ้นไปการคำนวนตามข้อ 1) ให้เสียขั้นต่ำ 0.5 % ของเงินได้พึงประเมิน
ขั้นสุดท้ายสรุปจำนวนภาษีที่ต้องชำระ
จำนวนภาษีเงินได้สิ้นปีที่ต้องเสีย เทียบ (1) และ (2) จำนวนที่สูงกว่า
หัก ภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายแล้ว
หัก ภาษี เงินได้ครึ่งปีที่ชำระไว้แล้ว
หัก ภาษี เงินได้ชำระล่วงหน้า
หัก เครดิต ภาษีเงินปันผล
= ภาษีเงินได้ที่ต้องเสีย (หรือที่เสียไว้เกินขอคืนได้)
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย
ให้นายจ้างผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินหักภาษีไว้ทุกคราวที่จ่ายเงินได้ ดังต่อไปนี้
1) เงินได้ พึงประเมินประเภทที่ 1 กับ 2
2) เงินได้ พึงประเมินประเภทที่ 3 กับ 4
3) เงินได้ พึงประเมินประเภทที่ 5 กับ 6 ที่จ่ายให้แก่ผู้รับซึ่งไม่ได้เป็นผู้อยู่ในไทย 15%
4) เงินได้ พึงประเมินประเภทที่ 8 เฉพาะที่จ่ายให้แก่ผู้รับซึ่งขายอสังหาริมทรัพย์
5) ผู้จ่านเงินได้เป็นองค์การของรัฐ จ่ายเงินได้ประเภท 5-8 หักไว้ 1%
กรณีไม่ชำระภาษีภายในกำหนดเวลา
จะต้องเสียเงินเพิ่ม ร้อยละ 1.5 ต่อเดือน หรือเศษของเดือนของเงินภาษีที่ต้องชำระนั้น นับแต่วันพ้นกำหนดเวลาการยื่นรายการจนถึงวันชำระภาษี เว้นแต่กรณีที่ได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากร ให้ขยายกำหนดเวลาชำระภาษีได้ เงินเพิ่มเสียร้อยละ 0.75

2.ภาษีเงินได้นิติบุคคล เสีย 30 % จากกำไร
ผู้มีหน้าที่เสียภาษี เงินได้นิติบุคคล ได้แก่ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ และหมายความรวมถึงนิติบุคคลอื่นๆ ที่ไม่ได้จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ด้วย ดังนี้
บริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล มีดังนี้
(1) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ได้แก่
ก. บริษัท จำกัด
ข. บริษัทมหาชน จำกัด
ค. ห้างหุ้นส่วนจำกัด
ง. ห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน
(2) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ ซึ่ง มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทย ก็ต่อเมื่อเข้าเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
ก. เข้ามากระทำกิจการในประเทศไทย (มาตรา 66 วรรคแรก)
ข. กระทำกิจการในที่อื่นๆ รวมทั้งในประเทศไทย (มาตรา 66 วรรคสอง)
ค. กระทำกิจการอื่นๆรวมทั้งในประเทศไทยและกิจการที่กระทำนั้นเป็นกิจการขนส่ง ระหว่างประเทศ
ง. มิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย แต่ได้รับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (2) (3) (4) (5) หรือ (6) ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทย (มาตรา 70)
จ. ที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลใน ประเทศไทย ตามมาตรา 76 วรรคสอง และมาตรา 76 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ได้จำหน่ายเงินกำไรหรือเงินประเภทอื่นที่กันไว้จากกำไร หรือถือได้ว่าเป็นเงินกำไรออกไปจากประเทศไทย (มาตรา 70 ทวิ)
ฉ. มิได้เข้ามาทำกิจการในประเทศไทยโดยตรง หากแต่มีลูกจ้างหรือผู้ทำการแทนหรือผู้ทำการติดต่อ ในการประกอบกิจการในประเทศไทย ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินได้หรือผลกำไรในประเทศไทย (มาตรา 76 ทวิ)
(3) กิจการซึ่งดำเนินการเป็นทางค้า หรือหากำไร โดย
ก. รัฐบาลต่างประเทศ ข. องค์การของรัฐบาลต่างประเทศ
ค. นิติบุคคลอื่นที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ
(4) กิจการร่วมค้า (Joint Venture) ได้แก่ กิจการที่ดำเนินการร่วมกันเป็นทางค้าหรือหากำไร ระหว่างบุคคล
ก. บริษัทกับบริษัท ข. บริษัทกับห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
ค. ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
ง. บริษัทและหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับบุคคลธรรมดา
จ. บริษัทและหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
ฉ. บริษัทและหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับห้างหุ้นส่วนสามัญ
ช. บริษัทและหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับนิติบุคคลอื่น
(5) มูลนิธิหรือสมาคมที่ประกอบกิจการซึ่งมีรายได้ แต่ ไม่รวมถึงมูลนิธิหรือสมาคมที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดให้เป็นองค์การหรือสถาน สาธารณกุศล
(6) นิติบุคคลที่อธิบดีกำหนดโดยอนุมัติรัฐมนตรีและประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้ เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร
นิติบุคคลที่ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้
เช่น กระทรวง ทบวง กรม องค์การ ของรัฐบาลหรือสหกรณ์
และนิติบุคคลอืนๆ ที่ได้รับการยกเว้นตามบทบัญญัติของกฎหมายต่างๆ ได้แก่
1) ตามข้อผูกพันที่ประเทศไทยมีอยู่ตามสัญญาว่า ด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจ หรือทางเทคนิคระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลต่างประเทศ
2) ที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลง ทุน
3 ที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ ปิโตรเลียม
4) ที่มีอนุสัญญาว่าด้วยการ เว้นการเก็บภาษีซ้อน
ฐานภาษีของภาษีเงินได้นิติบุคคล
(1) กำไรสุทธิ
เสียภาษี 2 ครั้งภายในระยะเวลาบัญชี 1 รอบ(12เดือน)
ครั้งที่ 1 ภายใน 2 เดือน นับจากวันปิดบัญชีครึ่งปี ให้ประมาณการทั้งปีแล้วเสียครึ่งในอัตรา 30%
ครั้งที่ 2 ภายใน 150 วัน นับจากวันปิดรอบบัญชี
(2) ยอดรายได้ก่อนหักรายจ่าย ใช้กับนิติบุคคลที่ไม่สามารถใช้วิธีกำไรสุทธิได้ เช่น
1) กิจการขนส่ง
ก. กรณีรับขนคนโดยสาร 3% ข. กรณีรับขนของ 3%
2) มูลนิธิหรือสมาคม
ก. เงินได้ประเภทที่ 8 2% ข. เงินได้อื่นนอกจาก ก. 10%
(3) เงินได้ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทย ใช้ในกรณีที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศมิได้ประกอบกิจการในไทยแต่ได้รับเงินได้ประเภทที่ 2-6 จากประเทศไทย ให้ใช้วิธีหักภาษี ณ ที่จ่าย
ก. เงินประเภท 2-6 หัก 15% ข. ยกเว้นเงินปันผล หัก 10%
(4) การจำหน่ายเงินกำไรออกไปจากประเทศไทย ใช้ในกรณีส่งให้สำนักงานใหญ่ที่ต่างประเทศ
ให้หักออก 10%

3.ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ผู้มีหน้าที่ เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
ผู้ ประกอบการที่ขายสินค้าหรือให้บริการในทางธุรกิจหรือวิชาชีพเป็นปกติธุระ ไม่ว่าจะประกอบกิจการในรูปของบุคคลธรรมดา คณะบุคคลหรือห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล หรือนิติบุคคลใด ๆ หากมีรายรับจากการขายสินค้าหรือให้บริการเกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี มีหน้าที่ต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเพื่อเป็นผู้ประกอบการจด ทะเบียน โดยคำนวณภาษีที่ต้องเสียจากภาษีขายหักด้วยภาษีซื้อ
กำหนด เวลาจดทะเบียน
1. ผู้ประกอบการต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อเริ่มประกอบกิจการ ขายสินค้าหรือให้บริการ เว้นแต่กรณีที่ ผู้ประกอบการมีแผนงานที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าได้เตรียมการเพื่อประกอบกิจการ ขายสินค้าหรือให้บริการที่อยู่ในบังคับ ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและมีการดำเนินการเพื่อเตรียมประกอบกิจการอันเป็น เหตุให้ต้องมีการซื้อสินค้าหรือรับบริการ ที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น การก่อสร้างโรงงาน การสร้างอาคารสำนักงานหรือการติดตั้งเครื่อง จักร ให้ผู้ประกอบการมีสิทธิยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ภายในกำหนด 6 เดือนก่อนวันเริ่มประกอบกิจการขาย สินค้าหรือให้บริการ
2. ผู้ประกอบการที่มีรายรับเกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษี-มูลค่าเพิ่มภายใน 30 วันนับแต่วันที่มีมูลค่าของฐานภาษี (รายรับ) เกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี
หน้าที่ ของผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
1. เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการ และออกใบกำกับภาษีเพื่อเป็นหลักฐานในการเรียก เก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม
2. จัดทำรายงานตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งได้แก่
(1) รายงานภาษีซื้อ
(2) รายงานภาษีขาย
(3) รายงานสินค้าและวัตถุดิบ
3. ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีตามแบบ ภ.พ.30
กิจการ ที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมาย
1. การขายสินค้าหรือให้บริการของผู้ประกอบการที่มีรายรับไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ี
2. การขายพืชผลทางการเกษตรภายในราชอาณาจักร เช่น ข้าว ข้าวโพด ปอ มันสำปะหลัง ผักและผลไม้
3. การขายสัตว์ทั้งที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิตภายในราชอาณาจักร เช่น โค กระบือ ไก่หรือเนื้อสัตว์ กุ้ง ปลา เป็นต้น
4. การขายปุ๋ย
5. การขายปลาป่น อาหารสัตว์
6. การขายยาหรือเคมีภัณฑ์ที่ใช้สำหรับพืชหรือสัตว์ เพื่อบำรุงรักษาป้องกัน ทำลายหรือกำจัดศัตรูหรือโรคของพืชและสัตว์
7. การขายหนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือตำราเรียน
** ผู้ ประกอบการที่ประกอบกิจการตาม 1. ถึง 7. ดังกล่าว จะเลือกเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มก็ได้
8. การนำเข้าสินค้าตาม 2. ถึง 7.
9. การให้บริการการศึกษาของสถานศึกษาของทางราชการ สถานศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันอุดมศึกษาเอกชน หรือโรงเรียนเอกชนตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน
10. การให้บริการขนส่งในราชอาณาจักรไม่ว่าจะเป็นทางบก ทางน้ำหรือทางอากาศ อย่างไรก็ดี หากเป็นการให้บริการขนส่งโดยอากาศยาน และการให้บริการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงทางท่อ ผู้ประกอบการมีสิทธิเลือกเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่มได้
11. การให้บริการขนส่งระหว่างประเทศทางบกและทางเรือซึ่งมิใช่เรือเดินทะเล
12. การให้บริการรักษาพยาบาลของสถานพยาบาลทางราชการและเอกชน
13. การให้บริการห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์
14. การให้บริการจัดแข่งขันกีฬาสมัครเล่น
15. การให้บริการประกอบโรคศิลปะ การสอบบัญชี การว่าความ
16. การให้บริการของนักแสดงสาธารณะ
17. การให้บริการที่เป็นงานทางศิลปะและวัฒนธรรม ในสาขาและลักษณะการประกอบกิจการที่อธิบดีกำหนดโดยอนุมัติรัฐมนตรี
18. การให้บริการวิจัย หรือการให้บริการทางวิชาการ ซึ่งต้องมีลักษณะการประกอบกิจการตามที่กรมสรรพากรกำหนด คือ ต้องเป็นการวิจัยหรือบริการทางวิชาการสาขาวิทยาศาสตร์และสาขาสังคมศาสตร์ แต่ต้องมิใช่เป็นการกระทำในทางธุรกิจ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการต้องเป็นบุคคลธรรมดาหรือเป็นคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล หรือมูลนิธิ
19. การให้บริการตามสัญญาจ้างแรงงาน
20. การให้บริการเช่าอสังหาริมทรัพย์
21. การให้บริการของราชการส่วนท้องถิ่น ทั้งนี้ไม่รวมถึงบริการที่เป็นการพาณิชย์ของราชการส่วนท้องถิ่น หรือเป็นการหารายได้ หรือผลประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นกิจการสาธารณูปโภคหรือไม่ก็ตาม
22. การขายสินค้าหรือการให้บริการของกระทรวง ทบวง กรม ซึ่งส่งรายรับทั้งสิ้นให้แก่รัฐโดยไม่หักรายจ่าย
23. การขายสินค้าหรือการให้บริการเพื่อประโยชน์แก่การศาสนา หรือการสาธารณกุศลภายในประเทศ ซึ่งไม่นำผลกำไรไปจ่ายในทางอื่น
24. การขายสินค้า หรือการให้บริการตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาฯ

ภาษีสรรพสามิต (Summarize excise law)

กฎหมายที่กรมสรรพสามิตใช้
(the law where Excise Department uses)
1.พ.ร.บ. สรรพสามิต พ.ศ. 2527
ใช้จัดเก็บภาษีน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน เครื่องดื่ม โคมไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศ แก้วคริสคัล รถยนต์ เรือยอร์ช น้ำหอม น้ำมันหอม พรม สนามแข่งม้า สนามกอล์ฟ
2.พ.ร.บ. สุรา พ.ศ. 2493
ใช้จัดเก็บภาษีสุราแช่กับสุรากลั่น
1)สุราแช่ = เบียร์,สุราแช่ผลไม้,สุราแช่พื้นเมือง
2)สุรากลั่น = สุราขาว, สุราผสม, สุราสามทับ,สุราปรุงพิเศษ,สุราพิเศษ
3.พ.ร.บ. ยาสูบ พ.ศ. 2509
ใช้จัดเก็บภาษีบุหรี่ เช่น ชิกาแรต,ซิการ์,ยาเส้น,ยาเส้นปรุง,ยาเคี้ยว
4.พ.ร.บ. ไพ่ พ.ศ. 2486
ใช้จัดเก็บภาษีไพ่
5.พ.ร.บ. พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527
6.พ.ร.บ. จัดสรรเงินภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527
7.พ.ร.บ. จัดสรรเงินภาษีสุรา พ.ศ. 2527
แหล่งข้อมูลอ้างอิง http://www.excise.go.th
อธิบายตามพระราชบัญญัติ
พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527
ผู้มีหน้าที่เสียภาษี
1.ผู้ประกอบอุตสาหกรรม
1.1 ผู้ผลิตสินค้าเอง
1.2 ผู้รับจ้างผลิต
2.ผู้นำเข้าซึ่งสินค้า
พ.ร.บ. สรรพสามิต ม.4 “ผู้นำเข้า” หมายความว่า ผู้นำเข้าตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร
3.ผู้ประกอบกิจการสถานบริการ
พ.ร.บ. สรรพสามิต ม.7 ให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรม ผู้ประกอบกิจการสถานบริการผู้นำเข้าซึ่งสินค้า หรือผู้อื่นที่พระราชบัญญัตินี้กำหนดให้เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษี มีหน้าที่เสียภาษีตามมูลค่าหรือปริมาณของสินค้าหรือบริการนั้นตามอัตราที่ระบุไว้ในกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต
4.ผู้อื่นตามที่พระราชบัญญัตินี้กำหนด
4.1 ผู้ดัดแปลงรถยนต์
พ.ร.บ. สรรพสามิต ม.144 ตรี “ดัดแปลง” หมายความว่า การกระทำใดๆ ต่อรถยนต์กระบะหรือสิ่งใดๆตามที่กำหนดในกฎกระทรวงให้เป็นรถยนต์นั่งหรือเป็นรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน โดยผู้ประกอบการมิใช่ผู้ประกอบอุสาหกรรมรถยนต์
พ.ร.บ. สรรพสามิต ม.144 เบญจ ให้ผู้ดัดแปลงเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีตามมูลค่าจากการดัดแปลง โดยให้ถือราคาค่าจ้างแรงงานดัดแปลงบวกด้วยค่าวัสดุอุปกรณ์หรือค่าจ้างทำของซึ่งรวมค่าวัสดุอุปกรณ์อยู่ด้วย แต่ต้องไม่ต่ำกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำสำหรับ ค่าใช้จ่ายในการดัดแปลงและค่าวัสดุอุปกรณ์ตามที่อธิบดีกำหนด
4.2 เจ้าของคลังสินค้าทัณฑ์บน
พ.ร.บ. สรรพสามิต ม.4 “คลังสินค้าทัณฑ์บน” หมายความว่า สถานที่นอกโรงอุตสาหกรรมที่อธิบดีอนุญาตให้ใช้เป็นที่เก็บสินค้าได้โดยยังไม่ต้องเสียภาษี
พ.ร.บ. สรรพสามิต ม.4 “โรงอุตสาหกรรม” หมายความว่า สถานที่ที่ใช้ในการผลิตสินค้ารวมตลอด ทั้งบริเวณแห่งสถานที่นั้น และให้หมายความรวมถึงเครื่องขายเครื่องดื่มด้วย
พ.ร.บ. สรรพสามิต ม.42 ในกรณีที่มีสินค้าขาดไปจากบัญชีคุมสินค้า ให้เจ้าของคลังสินค้าทัณฑ์บนเสียภาษีสำหรับสินค้าที่ขาดไปพร้อมกับเบี้ยปรับอีกสองเท่าของภาษีนั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าสินค้านั้นสูญหายเพราะเหตุสุดวิสัยหรือเป็นเหตุผิดพลาดในการตรวจนับปริมาณสินค้าอันไม่ได้เกิดขึ้นโดยความจงใจหรือประมาทเลินเล่อของเจ้าของคลังสินค้าทัณฑ์บน
4.3 ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบกิจการสถานบริการอันตั้งขึ้น ใหม่ โดยการควบเข้ากัน หรือผู้ประกอบอุตสาหกรรม หรือผู้ประกอบกิจการสถานบริการที่รับโอนกับผู้ประกอบอุตสาหกรรมเดิม (ม.57)
พ.ร.บ. สรรพสามิต ม.57 ในกรณีที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบกิจการสถานบริการควบเข้ากันหรือโอนกิจการให้แก่กัน ให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบกิจการสถานบริการอันได้ตั้งขึ้นใหม่โดยการควบเข้ากัน หรือผู้ประกอบอุตสาหกรรมหรือผู้ประกอบกิจการสถานบริการที่รับโอนกับผู้ประกอบอุตสาห กรรมหรือผู้ประกอบกิจการสถานบริการเดิมรับผิดร่วมกันในการชำระภาษีของกิจการเดิมที่ควบเข้ากันหรือกิจการที่โอนนั้น แล้วแต่กรณี
4.4 ผู้ได้รับสิทธิ์ยกเว้น หรือลดอัตราภาษีสำหรับ สินค้านำเข้า (ม.11) แล้วกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง
1) ถ้าโอนให้กับบุคคลที่ไม่มีสิทธิ = ผู้โอนกับผู้รับโอนรับผิดร่วมกัน
2) ถ้านำไปใช้ในการอื่น = ผู้ได้รับสิทธิยกเว้นหรือลดอัตราภาษีรับผิด
3) ถ้าสิทธิได้รับยกเว้นหรือลดอัตราภาษีสิ้นสุดลง = ผู้ได้รับสิทธิยกเว้นหรือลดอัตราภาษีรับผิด
4)ผู้ได้รับสิทธิยกเว้นหรือลดอัตราภาษีตาย = ผู้จัดการมรดกหรือทายาท
4.5 ผู้ได้รับเอกสิทธิ์ตาม ม.102 (3) สำหรับสินค้าที่ ผู้ประกอบอุตสาหกรรม ได้รับคืนหรือยกเว้นภาษี
(ม.12) แล้วกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง
พ.ร.บ. สรรพสามิต ม.102 ผู้ประกอบอุตสาหกรรมมีสิทธิได้รับคืนหรือยกเว้นภาษีในกรณีดังต่อไปนี้
(3) สินค้าที่จำหน่ายให้แก่ผู้ได้รับเอกสิทธิตามข้อผูกพันที่ประเทศไทยมีอยู่ต่อองค์การสหประชาชาติ หรือตามกฎหมายระหว่างประเทศ หรือตามสัญญากับนานาประเทศหรือทางการทูตตามหลักถ้อยทีถ้อยปฏิบัติกัน
1) ถ้าโอนให้กับบุคคลที่ไม่มีสิทธิ = ผู้โอนกับผู้รับโอนรับผิดร่วมกัน
2) ถ้าเอกสิทธิ์สิ้นสุดลงนอกจากความตาย = ผู้ได้รับเอกสิทธิ์
4.6 ผู้จัดการมรดก ทายาท หรือผู้ครอบครองทรัพย์มรดก ผู้อนุบาล หรือผู้พิทักษ์ (ม.56)
4.7 ผู้ชำระบัญชี และกรรมการผู้อำนวยการ หรือผู้จัดการ ซึ่งดำรงตำแหน่งอยู่ก่อนวันเลิกกิจการ ในกรณีที่ผู้ประกอบอุตสาหกรรม หรือผู้ประกอบกิจการสถานบริการเป็นนิติบุคคล และเลิกกิจการ โดยมีการชำระบัญชี (ม.58)
4.8 ผู้กระทำความผิดตาม ม.161,ม.162 (ม.163)
วิธีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต
1.จัดเก็บตามมูลค่า (ม.8)
1.1 ในกรณีที่สินค้าผลิตในราชอาณาจักร ให้ถือราคาขาย ณ โรงงานอุตสาหกรรม
1.2 ในกรณีบริการ ให้ถือตามรายรับของสถานบริการ
1.3 ในกรณีนำเข้า ให้ถือราคาตาม ราคา ซี.ไอ.เอฟ (ราคาสินค้า+ค่าประกันภัย+ค่าขนส่ง)+อากรขาเข้า+ค่าธรรมเนียมพิเศษกฎหมายส่งเสริมการลงทุน+ภาษี+ค่าธรรมเนียมอื่น (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
2.จัดเก็บตามปริมาณ (ม.9)
พ.ร.บ. สรรพสามิต ม.9 สินค้าที่ต้องเสียภาษีตามปริมาณนั้น ให้ถือตามหน่วยน้ำหนักสุทธิหรือตามปริมาณสุทธิของสินค้านั้น
3. จัดเก็บแบบทั้งสองวิธี โดยให้เสียภาษีในแบบที่จำนวนเงินมากที่สุด
ความรับผิดในการที่จะต้องเสียภาษี
1.ในกรณีที่สินค้าผลิตในราชอาณาจักร (ม.10)
1.1 ถ้าสินค้าอยู่ในโรงงานอุตสาหกรรม = นำสินค้าออกจากโรงงานอุตาหกรรม
1.2 ถ้าสินค้าเก็บอยู่ในคลังสินค้าทัณฑ์บน = นำสินค้าออกจากคลังสินค้าทัณฑ์บน+การใช้สินค้าในคลังสินค้าทัณฑ์บนด้วย
2.ในกรณีบริการ (ม.10) = เมื่อได้รับชำระค่าบริการ
3.ในกรณีสินค้านำเข้า (ม.10) = เกิดขึ้นพร้อมกับความรับผิดที่จะต้องเสียภาษีศุลกากร
การจดทะเบียนสรรพสามิต
1.การกระกอบอุตสาหกรรมหรือการบริการมีก่อนกฎหมายพิกัดอัตราภาษีบังคับใช้กับสินค้าและบริการนั้น = ให้ยื่นคำขอจดทะเบียนสรรพสามิตภายใน 30 วัน นับแต่กฎหมายใช้บังคับ (ม.25)
2.เริ่มกิจการการประกอบอุตสาหกรรมกับการบริการใหม่ = ให้ยื่นคำขอจดทะเบียนสรรพสามิตภายใน 30 วัน ก่อนวันเริ่มผลิตสินค้าหรือเริ่มบริการ (ม.25)
ในกรณีมีหลายแห่งให้แยกยื่นขอเป็นรายโรงอุตสาหกรรมหรือสถานบริการ (ม.25)
3.แจ้งย้ายไม่น้อยกว่า 15 วันก่อนวันย้าย และยื่นคำขอจดทะเบียนสรรพสามิตใหม่ (ม.30)
4.เลิกกิจการหรือโอนกิจการ แจ้งไม่น้อยกว่า 15 วัน และคืนใบทะเบียนภายใน 15 วันนับจากวันที่หยุดประกอบกิจการ
5.ผู้รับโอนกิจการต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภายใน 7 วัน นับแต่วันรับโอนกิจการและสามารถประกอบกิจการต่อเนื่องได้ระหว่างรอรับใบทะเบียน
6.ถ้าผู้ประกอบการตายและทายาทจะประกอบกิจการต่อ = ต้องยื่นภานใน 30 วันนับแต่ผู้ประกอบการตาย
การยื่นแบบรายการภาษีและการชำระภาษี
1.ในกรณีสินค้าผลิตขึ้นในราชอาณาจักร ให้ยื่นและชำระก่อนความรับผิดในอันที่จะต้องเสียภาษีเกิดขึ้น
ยกเว้น 1)ความรับผิดเกิดขึ้นจากภาษีมูลค่าเพิ่มในมาตรา 10 (1) วรรคสอง (เกิดขึ้นขณะสินค้าอยู่ในโรงงานอุตสา หกรรมหรือคลังสินค้าทัณฑ์บน) ให้ยื่นและชำระภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไปหรือ
2)นำสินค้าออกจากโรงงานอุตสาหกรรมหรือคลังสินค้าทัณฑ์บนแล้วแต่กรณีใดเกิดก่อน
2.ในกรณีบริการ ยื่นแบบรายการภาษีพร้อมชำระภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
3.ในกรณีนำเข้า ยื่นแบบรายการภาษีพร้อมชำระในเวลาที่ออกใบขนสินค้าตามกฎหมายศุลกากร
4.กรณีอื่น ยื่นแบบรายการภาษีพร้อมชำระภายในวันที่15ของเดือนถัดไปจากเดือนที่มีความรับผิดเกิดขึ้น
ยกเว้น กรณีตามม.11,12 (สิทธิไม่เสียภาษีลดหย่อนกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง) ยื่นภายใน 30 วัน
พ.ร.บ. พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527
สินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิต ตาม พ.ร.บ. ภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527
1.น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน
“น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน” หมายความว่า ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากปิโตรเลียม ได้แก่ น้ำมันเบนซิน น้ำมันก๊าด น้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบินไอพ่น น้ำมันดีเซล น้ำมันเชื้อเพลิงหนัก น้ำมันเตา และน้ำมันอื่น ๆ ที่คล้ายกับน้ำมันที่ได้ออกชื่อมาแล้ว น้ำมันหล่อลื่นปิโตรเลียมปิทูเมน (แอสฟัลด์) ปิโตรเลียมโค้ท ก๊าซปิโตรเลียมชนิดต่าง ๆ ก๊าซธรรมชาติเหลว ก๊าซธรรมชาติ สารละลายหรือโซลเว้นท์ชนิดต่าง ๆ สารพลอยได้ และกากอื่น ๆ ที่ได้จากปิโตรเลียม และให้หมายความรวมถึงน้ำมันอื่นหรือผลิตภัณฑ์อื่น ที่ได้จากการกลั่นแยกปิโตรเลียม ตามที่รัฐมนตรีประกาศในราชกิจจานุเบกษา
2.เครื่องดื่ม
“เครื่องดื่ม” หมายความว่า สิ่งซึ่งตามปกติใช้เป็นเครื่องดื่มได้โดยไม่ต้องเจือปนและไม่มีแอลกอฮอลล์ โดยจะมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ด้วยหรือไม่ก็ตาม อันบรรจุในภาชนะและผนึกไว้
เช่น น้ำแร่ น้ำหวาน น้ำผลไม้ น้ำพืชผัก และน้ำโซดา เป็นต้น และให้หมายความรวมถึงเครื่องดื่มที่ทำ หรือบรรจุ หรือได้จากเครื่องขายเครื่องดื่ม ไม่ว่าจะขายด้วยวิธีใด แม้จะไม่ได้บรรจุภาชนะและผนึกไว้ แต่ไม่รวมถึง
(1) น้ำหรือน้ำแร่ตามธรรมชาติ
(2) น้ำกลั่นหรือน้ำกรองสำหรับดื่มโดยไม่ปรุงแต่ง
(3) เครื่องดื่มซึ่งผู้ผลิตได้ผลิตขึ้นเพื่อขายปลีกเองโดยเฉพาะ อันมิได้มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ด้วย ทั้งมิได้สงวนคุณภาพด้วยเครื่องเคมี
(4) น้ำนมจืด น้ำนมอื่น ๆ ไม่ว่าจะปรุงแต่งหรือไม่ ทั้งนี้ ตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยอาหาร
(5) เครื่องดื่มตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา น้ำแร่เทียม น้ำโซดา และน้ำอัดลมที่ไม่เติมน้ำตาล หรือสารทำให้หวานอื่น ๆ และไม่ปรุงกลิ่นรส
3.เครื่องไฟฟ้า
“เครื่องไฟฟ้า” หมายความว่า ผลิตภัณฑ์ซึ่งใช้พลังงานไฟฟ้า และให้รวมถึงสิ่งที่ใช้ประกอบกับไฟฟ้า หรือเกี่ยวกับไฟฟ้าด้วย ปัจจุบันเรียกเก็บอยู่ 2 ชนิดคือ
1) เครื่องปรับอากาศที่มีขนาดทำความเย็นไม่เกิน 72,000 BTU
2) โคมไฟและโคมไฟระย้า
4.แก้วและเครื่องดื่ม
“แก้วและเครื่องแก้ว” หมายความว่า สิ่งของและเครื่องใช้ที่ทำด้วยแก้ว ปัจจุบันเรียกเก็บอยู่คือ
1) แก้วเลคคริสตัล
2) แก้วคริสตัลอื่นๆ
5.รถยนต์ (จัดเก็บตามมูลค่า)
“รถยนต์” หมายความว่า รถที่มีล้อตั้งแต่สามล้อ และเดินด้วยกำลังเครื่องยนต์ กำลังไฟฟ้า หรือพลังงานอื่น แต่ไม่รวมถึงรถที่เดินบนราง รถจักรยานยนต์มีพ่วงข้างไม่เกินหนึ่งล้อ และรถยนต์ตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา
“รถยนต์นั่ง” หมายความว่า รถเก๋งหรือรถยนต์ที่ออกแบบเพื่อใช้สำหรับนั่งเป็นปกติวิสัย และให้หมายความ
รวมถึงรถยนต์ในลักษณะทำนองเดียวกัน เช่น รถยนต์ที่มีหลังคาติดต่อเป็นเนื้อเดียวกันในลักษณะถาวร ด้านข้างและหรือด้านหลังคนขับมีประตูหรือหน้าต่างและมีที่นั่ง ทั้งนี้ ไม่ว่าจะมีที่นั่งเท่าใด
“รถยนต์โดยสาร” หมายความว่า รถตู้หรือรถยนต์ที่ออกแบบเพื่อใช้ขนส่งคนโดยสารจำนวนมาก รวมทั้งรถยนต์ในลักษณะทำนองเดียวกัน
“รถยนต์กระบะ” หมายความว่า รถยนต์ที่มีที่นั่งด้านหน้าตอนเดียวสำหรับคนขับ และตอนหลังเป็นกระบะบรรทุก ซึ่งเปิดโล่งจนถึงท้ายรถโดยไม่มีหลังคา ปัจจุบันเรียกเก็บอยู่ 2 ชนิดคือ
1) รถยนต์นั่ง
2) รถยนต์นั่งโดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน
6. เรือ
“เรือ” หมายความว่า ยานพาหนะทางน้ำทุกชนิด เรือที่ทางสรรพสามิตจัดเก็บ
1)เรือยอชต์ 2)ยานพาหนะทางน้ำที่ใช้เพื่อความสำราญ
7. ผลิตภัณฑ์เครื่องหอมและเครื่องสำอาง
“ผลิตภัณฑ์เครื่องหอม” หมายความว่า น้ำหอม หัวน้ำหอม น้ำมันหอม และสิ่งที่ทำให้มีกลิ่นหอมต่าง ๆ แต่ไม่รวมถึง
(1) หัวน้ำหอมที่ใช้ได้เฉพาะในการผลิตสินค้า และ
(2) สินค้าตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา
เครื่องสำอาง” หมายความว่า ผลิตภัณฑ์สิ่งปรุงแต่งเพื่อใช้บนผิวหนัง หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายมนุษย์ สำหรับทำความสะอาด ห้องกัน แต่งเสริมให้เกิดความงาม หรือเปลี่ยนแปลงรูปลักษณะ โดยถู ทา พ่น หรือโรย เป็นต้น แต่ไม่รวมถึง
(1) เภสัชผลิตภัณฑ์ และ
(2) สินค้าตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา
ภาษีที่ทางสรรพสามิตจัดเก็บ
1)น้ำหอม หัวน้ำหอม และน้ำมันหอม
8.สินค้าอื่นๆ
1) พรม
2) รถจักรยานยนต์
3) แบตเตอรี่และไฟฉาย
9.สถานบริการ
“สถานบริการ” หมายความว่า สถานที่สำหรับประกอบกิจการในด้านบริการบันเทิง หรือหย่อนใจต่าง ๆ เพื่อหารายได้เป็นธุรกิจ เช่น สถานมหรสพ ที่ฉายภาพยนตร์ สนามแข่งม้า ไนท์คลับ กาบาเรต์ ดิสโกเธค สถานอาบน้ำนวดหรืออบตัว เป็นต้น
สถานบริการที่จัดเก็บภาษีสรรพสามิตตอนนี้
1) ไนท์คลับ ดิสโกเธค
2) สถานอาบ อบนวด
3) สนามแข่งม้า
4) สนามกอล์ฟ
พ.ร.บ. สุรา พ.ศ. 2493
พ.ร.บ. สุรา ม.4 “สุรา” หมายความรวมถึงวัตถุทั้งหลายหรือของผสมที่มีแอลกอฮอล์ซึ่งสามารถดื่มกินได้เช่นเดียวกับน้ำสุราหรือซึ่งดื่มกินไม่ได้ แต่เมื่อได้ผสมกับน้ำหรือของเหลวอย่างอื่นแล้วสามารถดื่มกินได้เช่นเดียวกับน้ำสุรา
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีของตัวสินค้า
1. ผู้ได้รับใบอนุญาตทำสุรา
พ.ร.บ. สุรา ม.7 ผู้ได้รับใบอนุญาตทำสุรานอกจากทำสุราสำหรับใช้ในบ้านเรือนต้องเสียภาษีสำหรับสุราที่ทำได้ก่อนขนสุราออกจากโรงงานตามอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง การเสียภาษีให้กระทำโดยการปิดแสตมป์สุราที่ภาชนะบรรจุสุราในความควบคุมของพนักงานเจ้าหน้าที่
2. ผู้นำสุราเข้ามาในราชอาณาจักร
พ.ร.บ. สุรา ม.6 ห้ามมิให้ผู้ใดนำสุราเกินกว่าหนึ่งลิตรเข้ามาในราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานสรรพสามิต
พ.ร.บ. สุรา ม.8 ผู้นำสุราเข้ามาในราชอาณาจักรจะต้องเสียภาษีสุราโดยปิดแสตมป์สุราที่ภาชนะบรรจุสุราตามอัตราที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง เว้นแต่สุรานั้นมีปริมาณไม่เกินหนึ่งลิตร และได้เปิดภาชนะที่บรรจุแล้ว การปิดแสตมป์สุราจะต้องปิดก่อนขนผ่านด่านศุลกากร
วิธีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต (สุรา)
1.จัดเก็บตามมูลค่า
1.1 ในกรณีที่สุราทำในราชอาณาจักร ให้ถือราคาขาย ณ โรงงาน
1.2 ในกรณีนำเข้าสุรา ให้ถือราคาตาม ราคา ซี.ไอ.เอฟ (ราคาสินค้า+ค่าประกันภัย+ค่าขนส่ง)+อากรขาเข้า+ค่าธรรมเนียมพิเศษกฎหมายส่งเสริมการลงทุน+ภาษี+ค่าธรรมเนียมอื่น (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
การคืน การยกเว้นภาษี (สุรา)
1. ผู้ส่งสุราออกไปนอกราชอาณาจักรมีสิทธิได้รับคืนค่าภาษีสุรา สำหรับสุราที่ส่งออกไปตามวิธีการและเงื่อนไขที่กำหนด (ม.10)
2. สุราซึ่งได้ทำการขนออกจากโรงงานสุราแล้วหากพิสูจน์ได้ว่าสุรา แปรสภาพไปเองจนไม่สมควรจะใช้ดื่มกินต่อไป และได้ส่งคืนโรงงานสุราตามวิธีการและเงื่อนไขที่กำหนด เจ้าของสุรามีสิทธิได้รับคืนค่าภาษีสุราสำหรับสุราที่ส่งคืนนั้น (ม.11)
3. ผู้ได้รับใบอนุญาตทำสุราอาจขอยกเว้นภาษีสุราสำหรับสุราที่ส่ง ออกไปนอกราชอาณาจักรตามวิธีการและเงื่อนไขที่กำหนด
4. ให้งดเว้นไม่เรียกเก็บภาษีสุราสำหรับสุราที่ทำในราชอาณาจักร และสุราที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร ของผู้ได้รับเอกสิทธิ์ตามข้อผูกพันที่ประเทศไทยมีอยู่ต่อองค์การสหประชาชาติ หรือตามกฎหมายระหว่างประเทศ หรือตามสัญญา หรือความตกลงกับต่างประเทศหรือทางการทูต (ม.47)
ประเภทของใบอนุญาตขายสุรา 7 ประเภท (ม.19)
1. สำหรับขายสุราทุกชนิด ครั้งหนึ่ง 10 ลิตรขึ้นไป
2.สำหรับขายสุราที่ทำในราชอาณาจักร ครั้งหนึ่ง 10 ลิตรขึ้นไป
3.สำหรับการขายสุราทุกชนิด ครั้งหนึ่งต่ำกว่า 10 ลิตร
4.สำหรับการขายสุราที่ทำในราชอาณาจักร ครั้งหนึ่งต่ำกว่า 10 ลิตร
5.สำหรับการขายสุราทุกชนิด ครั้งหนึ่งต่ำกว่า 10 ลิตร เพื่อดื่ม ณ สถานที่ขาย
6.สำหรับการขายสุราที่ทพในราชอาณาจักร ครั้งหนึ่งต่ำกว่า 10 ลิตร เพื่อดื่ม ณ สถานที่ขาย
7.สำหรับการขายสุราครั้งหนึ่งเป็นจำนวนต่ำกว่า 10 ลิตร เพื่อดื่มภายในสมาคมหรือสโมสร
พ.ร.บ. ยาสูบ พ.ศ. 2509
พ.ร.บ. ยาสูบ ม.4 “ยาสูบ” หมายความว่า บุหรี่ซิกาแรต บุหรี่ซิการ์ บุหรี่อื่น ยาเส้นปรุง และยาเคี้ยว
“พันธุ์ยาสูบพื้นเมือง” หมายความว่า ต้นยาสูบที่ปลูกในประเทศไทยมาแต่ดั้งเดิม และเมื่อบ่มด้วยแดดแล้วใบเป็นสีน้ำตาล
“ยาเส้น” หมายความว่า ใบยาหรือยาอัดซึ่งได้หั่นเป็นเส้นและแห้งแล้ว
“บุหรี่ซิกาแรต” หมายความว่า ยาเส้นหรือยาเส้นปรุง ไม่ว่าจะมีใบยาแห้งหรือยาอัดเจือปนหรือไม่ ซึ่งมวนด้วยกระดาษหรือวัตถุที่ทำขึ้นใช้แทนกระดาษ หรือใบยาแห้งหรือยาอัด
ใบอนุญาตผลิตยาสูบในแต่ละช่วงการผลิต
1.การเพาะปลูกต้นยาสูบ ต้องขออนุญาต และใบอนุญาตมีอายุ 1 ปีนับแต่วันออกใบอนุญาต
(ม.7) และต้องขายกับผู้บ่มใบยาเท่านั้น (ม.8) (ไม่ให้บังคับใช้แก่ผู้ปลูกพันธุ์ยาสูบพื้นเมือง)
2.ตั้งสถานีบ่มใบยาหรือเพิ่ม ต้องขออนุญาต และใบอนุญาตมีอายุตลอดไป
(ม.9) (ไม่ให้บังคับใช้แก่ผู้ตั้งสถานีบ่มใบยาพันธุ์ยาสูบพื้นเมือง)
3.ผู้ทำการบ่มใบยา ต้องขออนุญาต และใบอนุญาตมีอายุ1 ปีนับแต่วันออกใบอนุญาต
(ม.10) และต้องขายกับผู้ซื้อใบยาเท่านั้น (ม.11)(ไม่ให้บังคับใช้แก่ผู้บ่มใบยาพันธุ์ยาสูบพื้นเมือง)
4.ผู้ซื้อใบยา ต้องขออนุญาต และใบอนุญาตมีอายุเมื่อสิ้นปีปฏิทิน
(ม.25) (ไม่ให้บังคับใช้แก่การซื้อใบยาพันธุ์ยาสูบพื้นเมือง)
5.ตั้งโรงอบใบยาหรือเพิ่มเครื่องอบ ต้องขออนุญาต และใบอนุญาตมีอายุตลอดไป (ม.12)
6.ผู้ทำการอบใบยา ต้องขออนุญาต และใบอนุญาตมีอายุ1 ปีนับแต่วันออกใบอนุญาต (ม.13)
7.ผู้ทำการหั่นใบยา ต้องขออนุญาต (ม.14) (ไม่ให้บังคับใช้แก่ผู้หั่นใบยาพันธุ์ยาสูบพื้นเมือง)
8.บุหรี่ซิกาแรต ผูกขาดโดยรัฐ (ม.16)
9.ผู้ประกอบอุตาหกรรมยาสูบ ต้องขออนุญาต และใบอนุญาตมีอายุเมื่อสิ้นปีปฏิทิน
(ม.17) (ไม่ให้บังคับใช้แก่ผู้ปลูกใบยาพันธุ์ยาสูบพื้นเมืองซึ่งทำยาเส้นเอง)
10..ผู้ขายยาเส้นหรือยาสูบ ต้องขออนุญาต และใบอนุญาตมีอายุเมื่อสิ้นปีปฏิทิน
(ม.17) (ไม่ให้บังคับใช้แก่ผู้ขายใบยาพันธุ์ยาสูบพื้นเมือง)
วิธีการชำระภาษียาสูบ
(ม.18)ใช้วิธีปิดแสตมป์ก่อนนำออกจากโรงงานอุตสาหกรรม ยกเว้นยาเส้นที่ทำจากใบยาสูบพันธุ์พื้นเมืองและยาเส้นหรือยาสูบที่ส่งออกไปขายนอกราชอาณาจักรไม่ต้องปิดแสตมป์
พ.ร.บ. ไพ่ พ.ศ. 2486
พ.ร.บ. ไพ่ ม.4 “ไพ่” หมายความว่า ไพ่ซึ่งทำด้วยกระดาษหรือหนัง หรือซึ่งทำด้วยวัตถุอื่น
ใบอนุญาตผลิตไพ่ในแต่ละช่วงการผลิต
1.ผู้ทำไพ่และนำไพ่เข้ามาในราชอาณาจักร ต้องขออนุญาต
2.ผู้ขายไพ่ ต้องขออนุญาต ใบอนุญาตมีอายุสิ้นปีปฎิทิน (ไพ่ที่ขายต้องเป็นไพ่ของสรรพสามิตหรือมีตราของสรรพสามิตประทับอยู่)
วิธีการชำระภาษีไพ่
1.ชำระภาษีไพ่ โดยการประทับตราไพ่ก่อนขนออกจากโรงงานไพ่ หรือนำเข้า
การคืน การยกเว้นภาษี
2. ไพ่ที่โรงงานไพ่กรมสรรพสามิตผลิตขึ้น และส่งออกไปนอกราชอาณาจักรไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมสำหรับการประทับตราไพ่ แต่ต้องปฏิบัติตามระเบียบกรมสรรพสามิตว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการส่งไพ่ออกไปนอกราชอาราจักร พ.ศ. 2544.